วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประเทศเป็นหนี้ 7,700 ล้านบาทเพื่อกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี (เสื้อแดง)

ผมไม่นึกเลยว่า รัฐบาลจะกล้ากระทำเยี่ยงนี้ได้  นำเงินกู้จำนวน  7,700 ล้านบาท มาแจกเป็นเงินกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ทั่วประเทศ 77 จังหวัด เฉลี่ยจังหวัดละ 100 ล้านบาท

คณะรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีมติ เมื่อ 31 มกราคม 2555 เห็นชอบจัดตั้ง "กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติ" และมีการประกาศบังคับใช้ในราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555 เป็น "ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี พ.ศ.2555"

ก่อนหน้านี้ เครือข่ายสตรี องค์กรด้านการพัฒนาสตรี หน่วยงานที่ทำงานด้านสตรี  ตลอดจนประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย(นายคณิต ณ นคร) ได้พยายามนำเสนอข้อคิดเห็นที่แตกต่าง เพื่อขอให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่สุ่มเสี่ยงต่อการเพิ่มภาระหนี้สินให้กับประเทศและประชาชน

สรุปความเห็นที่น่าสนใจจากองค์กร หน่วยงาน และประชาชนที่เกี่ยวข้องทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมกับเงินกองทุน 7,700 ล้านบาท ซึ่งท่านบรรณาธิการเว็บไซต์ไทยโพสต์ออนไลน์ เขียนเอาไว้เมื่อ 27 ก.พ.2555 ได้แก่
  1. การดำเนินนโยบายใดๆ ของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณจำนวนมาก พึงตราเป็นพระราชบัญญัติ ไม่สมควรกำหนดเป็นเพียงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
  2. ที่มาของเงินที่ตั้งเป็นกองทุนส่วนหนึ่งจะมาจากการกู้ยืม จึงเป็นเพิ่มภาระหนี้สินอย่างไม่จำเป็น เพราะในขณะนี้มีช่องทางขององค์กรและสถาบันการเงินจำนวนมากที่สามารถจัดให้ผู้หญิงที่มีความยากลำบากในพื้นที่ต่างๆ ได้กู้ยืมเงินอยู่หลายช่องทางอยู่แล้ว
  3. ลักษณะการตั้งกองทุนและการบริหารกองทุนพัฒนาสตรีนี้ มีแบบอย่างจากกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งปรากฏการสำรวจและวิจัยผลงานวิชาการหลายแห่งว่าประสบความสำเร็จเพียง 10% ในขณะที่เป็นการสร้างหนี้ให้กับประชาชนมากกว่า
  4. การจัดสรรกองทุนไม่ได้เป็นไปตามนโยบายบริหารราชการแผ่นดินว่าด้วยเรื่องการพัฒนาบทบาทสตรีที่รัฐบาลได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ที่ระบุว่า..สนับสนุนบทบาทของสตรีไทยในการมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศ ปกป้องสิทธิสตรี
  5. กระบวนการของการจัดการบริหารกองทุนไม่มีความชัดเจน แทนที่จะเป็นไปตามหลักการ "ทั่วถึงและเท่าเทียม" แต่กลับสร้างช่องว่างให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับสตรีเฉพาะกลุ่มที่มาขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกกองทุนเท่านั้น
  6. กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีถือเป็นนโยบายสาธารณะตามที่รัฐบาลได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา แต่ภาคประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายองค์กรสตรีและกลุ่มสตรีทั่วประเทศ กลับไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการจัดทำนโยบายนี้ รวมถึงการดำเนินการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว
ชัดเจน ทั้ง 6 ข้อครับ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ ไม่ฟังหรอกครับ เพราะนี่คือการสร้างกลุ่มฐานเสียงใหม่ของพรรคเพื่อไทย แค่วัตถุประสงค์ข้อแรกของกองทุนที่ชัดเจนมากๆ ก็คือ "เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำสำหรับการลงทุน การพัฒนาอาชีพ การสร้างโอกาสในการทำงาน และสร้างรายได้" ส่วนข้ออื่นๆ ก็เขียนไว้ประดับให้ดูดีเท่านั้น หากพวกเราตามไม่ทันแล้ว กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีนี้ อาจจะเป็นแหล่งสะสมการโกงกิน และคอรัปชั่นเชิงนโยบาย  เป็นการลงทุนทางการเมืองของรัฐบาลเพื่อคะแนนเสียงของตนเอง โดยไม่ต้องลงทุนควักกระเป๋าตัวเองแม้แต่บาทเดียว และที่น่าเสียใจคือ ส่งเสริมการสั่งสมหนี้สินให้ประชาชน มากกว่าการสนับสนุนให้เรียนรู้พึ่งพาตนเองแบบพอเพียง

กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจังหวัด จังหวัดละ 100 ล้านบาทนี้ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยเลยครับ  หากรัฐบาลลองมองแบบใจกว้างๆ แบ่งย่อยออกมาตั้งเป็นกองทุนพัฒนาเด็กและเยาวชนของจังหวัด กองทุนพัฒนากีฬาของจังหวัด กองทุนพัฒนาการศึกษาของจังหวัดบ้าง สักกองทุนละ 20-30 ล้าน ผมว่าเงินก้อนนี้น่าจะมีประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิม

พรรคเพื่อไทย ทำไมถึงชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง ก็เพราะวิธีการสกปรกอย่างนี้เองคือ "นำเงินหลวงมาหาเสียงผ่านทางนโยบาย โดยไม่ต้องควักเงินของตัวเอง"  อย่างนี้เขาเรียกว่า "ไร้ยางอาย" เงินจำนวน 7,700 ล้านบาท เป็นหนี้ของคนไทยทุกคนต้องช่วยกันแบกรับภาระ แต่ดันกลับเอาไปให้กลุ่มสตรีเพียงไม่กี่คนใช้จ่ายและบริหาร เพราะข้อจำกัดที่ไม่เป็นสาธารณะก็คือ สตรีที่จะใช้ประโยชน์จากกองทุนนี้ต้องสมัครเป็นสมาชิกของกองทุน แสดงว่ามันไม่ใช่เพื่อสตรีทุกคนในประเทศไทย แต่เพื่อสตรีที่ต้องมาสมัครเป็นสมาชิก เพื่อแสดงตัวตนเป็นกลุ่มเป็นพรรคพวกของตัวเอง แล้วอย่างนี้จะยุติธรรมหรือ

หลายคนมองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นแล้ว หลังจากที่มีการเปิดรับสมัครสมาชิกกองทุน
กองทุนนี้ แท้จริงแล้วคือ "กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี (เสื้อแดง)"
เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณที่เป็นฐานเสียงสนับสนุนพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด

แล้วทำไม? ต้องให้ประชาชนคนไทยทุกคน
แบกรับภาระหนี้เงิน 7,700 ล้านบาทนี้
ให้พวกท่าน....เอาไปปรนเปรอพรรคพวกท่านกันเอง

***********************
จุฑาคเชน : 29 ก.พ.2555

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ท่องเที่ยวราชบุรี ของดีเมืองโอ่ง....สินค้าเก่าในกล่องใหม่

จ.ราชบุรี จัดงาน "ท่องเที่ยวราชบุรี ของดีเมืองโอ่ง ประจำปี 2555" ขึ้นระหว่างวันที่ 24 ก.พ.2555-4 มี.ค.2555 ณ บริเวณถนนโดยรอบศาลากลางจังหวัดราชบุรี งานนี้เปรียบเสมือนงานประจำปีของจังหวัดราชบุรี ที่ริเริ่มจัดครั้งแรกในสมัยนายโกเมศ แดงทองดี ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด ในปี พ.ศ.2543 โดยชื่องานว่า "เที่ยวราชบุรีปี 2,000" ในครั้งนั้นจัดขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวและปลุกปลอบขวัญชาว จ.ราชบุรี หลังจากเกิดเหตุการณ์ก็อดอาร์มี่บุกยึด รพ.ราชบุรี เมื่อปลายเดือนมกราคม 2543 

งานท่องเที่ยวราชบุรีฯ ในปี 2555  นี้มีงานที่เป็นการกุศลพอเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมก็คือ งานในส่วนของสำนักงานเหล่ากาชาดราชบุรี  ส่วนที่เหลือก็จะเป็นคาราวานสินค้า ร้านอาหาร คอนเสิร์ต(มอมเมารายคืน) สวนสนุก ร้านเกม ร้านเสี่ยงโชคปาเป้า บิงโก ยิงปืน ฯลฯ อีกอย่างหนึ่งที่ยังพอที่มีสาระอยู่บ้าง ก็คือ สินค้า OTOP และการออกบูตของหน่วยราชการ ซึ่งมีไว้ประดับเพื่อประกอบการรายงานผลงานให้แลดูไม่น่าเกลียด ทั้งหมดนี้คือ สินค้าเก่าในกล่องใหม่ เหตุที่เรียกว่ากล่องใหม่ คือ ชื่องานที่เปลี่ยนแปลงให้ดูกิ๊บเก๋ขึ้น แต่ทุกอย่าง..เหมือนเดิม

งานท่องเที่ยวราชบุรีฯ กลายเป็นงานที่ค่อนข้างไม่มีสาระตามชื่องานที่กล่าวอ้าง จัดกันเอง เที่ยวกันเอง ซื้อกันเอง  การทำให้รถราม้าช้างติดขัดกันจอแจเพราะชอบปิดถนนจัดงานกัน การทำให้สนามกีฬากลายเป็นสนามสำหรับทำมาหากิน การหากินกับเงินรับฝากรถข้างถนน การทำให้ถนนเต็มไปด้วยขยะ เหม็นตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นปัสสาวะ การทำให้บรรดาวัยโจ๋ตีกันรายวัน การทำให้เสียงมอร์เตอร์ไซต์ของเด็กแว้น ดังสนั่นเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่ว่ายามกลางวันหรือยามดึก

เรื่องเหล่านี้ จ.ราชบุรี ถนัดนัก
แต่เรื่องที่จะจัดงานให้มีสาระ...จ.ราชบุรี ทำไม่เป็น

ความนิยมเรื่อง  "การให้สัมปทานการจัดงาน" ทำให้บรรดาเหล่าข้าราชการผู้จัด ไม่ต้องใช้สมองคิดอะไรมากมาย แค่ให้ใช้ชื่อจัดงาน ให้ใช้สถานที่จัดงาน ไม่ต้องลงทุน ไม่ว่างานจะกำไรหรือขาดทุน ไม่ว่างานจะมีสาระตามชื่อของงานหรือไม่ จบงาน ข้าฯ ก็ได้สตางค์อยู่ดี ส่วนจะมากจะน้อย ก็ขึ้นอยู่กับการตกลงตั้งแต่แรกว่าผู้รับสัมปทานจะให้เงินเท่าไหร่

วันนี้...ไม่ใช่แต่งานเที่ยวราชบุรีฯ นี้อย่างเดียว แม้แต่งาน "สักการะเจ้าพ่อหลักเมือง" ก็ใช้รูปแบบการสัมปทานจัดงานเช่นกัน จนทำให้งานฯ  ซึ่งเคยเป็นงานประจำปีที่สำคัญในจิตใจของชาวราชบุรี ที่คนราชบุรีทุกคนต้องหาโอกาสมาให้ได้สักครั้ง  แต่วันนี้ กลับกลายเป็นงานประจำปีที่แทบจะไม่มีคนมาเที่ยว ก็เพราะวิธี "การให้สัมปทานการจัดงาน" เยี่ยงนี้นี่เอง

ไม่รู้ว่า จ.ราชบุรี ของเราจะต้องรอผู้ว่าฯ อีกสักกี่ท่าน ที่จะคิดใหม่ ทำใหม่ หากเราคิดทำอะไรง่ายๆ ทำแบบซ้ำๆ ทำแบบเดิมๆ แล้วเราคิดว่าจะได้ผลลัพธ์ใหม่ เลิกคิดได้เลยครับ เพราะมันเป็นความคิดที่วิปริต


*******************
จุฑาคเชน : 26 ก.พ.2555

ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.เวสเทิร์นนิวส์ โฟกัสราชบุรี ปีที่ 3 ฉบับที่ 15 เดือนมีนาคม 2555 หน้า 20





วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ยกสอง "ฉีกรัฐธรรมนูญ" ทักษิณชนะ

เมื่อวันที่ 24 ก.พ.2555 รัฐสภาไทยมีมติ "ฉีกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550" แล้วจัดตั้งคณะบุคคลขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับที่เรียกว่า สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.) 

พรรคเพื่อไทย...จอมเผด็จการรัฐสภาเต็มรูปแบบ ชนะขาดลอยในการฉีกรัฐธรรมนูญ มีผู้เห็นด้วยถึง 399 เสียง ไม่เห็นด้วย 199 เสียง งดออกเสียง 14 เสียง

ที่มาของภาพ
http://www.oknation.net/blog/payont/2011/09/02/entry-1
โปรดจำชื่อคนทั้ง 399 คนที่เห็นด้วยกับการฉีกรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไว้ให้จงดี เพราะคนเหล่านี้กำลังนำพาประเทศไทยไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ นำประเทศไทยใส่พานถวายให้นายทุนข้ามชาติ และระดับชาติ   ทั้ง 399 คนนี้ มีทั้งเป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ และ สว.ผู้ทรงคุณวุฒิ แต่กลับไร้ซึ่งความคิด มีหน้าที่แค่ยกมือตามคำสั่งของพรรคการเมืองนายทุนเพื่อหวังต่อผลประโยชน์ของตัวเองในภายภาคหน้า  โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ และผมก็รู้สึกเสียใจว่าหลายคนในนั้นเป็นผู้แทน จ.ราชบุรี ของผมอยู่ด้วย

และขอขอบคุณท่านที่ไม่เห็นด้วยทั้ง 199 ท่าน ที่ตั้งใจทำหน้าที่ปกป้องรัฐธรรมนูญ ท่านทำดีที่สุดแล้ว 
แต่น้ำน้อย....ย่อมแพ้ไฟอยู่วันยังค่ำ

อีกไม่นาน - การเลือกตั้ง สสร. ในแต่ละจังหวัด พรรคเพื่อไทยจะทำการซื้อเสียงกันอย่างมโหฬารอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ใช้รูปแบบกลโกงทุกชนิดเพื่อให้ได้คนในกำกับของตนเองขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อันเป็นกฏหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางที่พรรคเพื่อไทยต้องการ หรือ ตรงกันข้าม อาจจะไม่มีการซื้อเสียงเลยก็ได้ เพราะไม่มีคู่แข่งขัน

การแต่งตั้ง สสร. ในส่วนที่มาจากสถาบันการศึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ หากเลือกกันในรัฐสภา
ฝ่ายเผด็จการรัฐสภาก็ชนะ ได้ สสร. เป็นคนของตนเองอยู่ดี

สสร. ที่เป็นอิสระปลอดจากการชี้นำทางเมือง
ผมเชื่อว่า "ไม่มีใน สสร.ในชุดนี้" อย่างแน่นอน

แล้วรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ..........
หน้าตาจะออกมาเป็นอย่างไร และเพื่อใคร คงพอคาดเดากันได้

หลังจาก สสร. ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ หากต้องนำมาผ่านรัฐสภา -ก็ชนะอีกตามเคย
หลังจากนั้น หากต้องมีการนำร่างรัฐธรรมนูญไปทำประชามติ -ก็ชนะอีกตามเคยเช่นกัน
  • ยกแรก -โอนหนี้เก่า -กู้เงินใหม่มาใส่กระเป๋า ทำทุนไว้ก่อน (นช.ทักษิณ ชนะ)
  • ยกสอง -ฉีกรัฐธรรมนูญ ยกร่างใหม่ โดย สสร. (นช.ทักษิณ ชนะ) และวันต่อมาก็จัดงานฉลองความสำเร็จที่โบนันซ่า กันอย่างยิ่งใหญ่
  • ยกสาม -สสร.ต้องเป็นคนของ นช.ทักษิณฯ เพื่อร่างรัฐธรรมนูญตามที่ นช.ทักษิณฯ ต้องการ (กำลังชกกันอยู่)
โค้ชกระซิบบอกว่า ยกสาม เราอาจจะชนะได้ ก็คือ ในแต่ละจังหวัด จะต้องมีผู้เสียสละ มีความรู้ความสามารถ มีอุดมการณ์ อิสระจากอิทธิพลการเมือง จริงใจในการรักษาผลประโยชน์ของชาติและประชาชน ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สสร. (เพื่อแข่งกับนอร์มินีของพรรคเพื่อไทย) และประชาชนคนไทยที่เห็นแก่ชาติบ้านเมืองต้องช่วยกันเลือกคนๆ นั้น ขึ้นมาเป็น สสร. เพื่อร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชนโดยแท้จริง ไม่ใช่รัฐธรรมนูญของเผด็จการนายทุนพรรคการเมือง

แต่ใครคือผู้เสียสละคนนั้น และประชาชนจะเลือกเขาหรือปล่าว
ประชาชนจะเลือกเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติ
หรือจะเลือกเพื่อตอบแทนอามิสสินจ้างเพียงแค่เศษเงินที่เขาโยนให้มา

หากวิธีนี้ไม่ชนะ  คงเหลือวิธีเดียว คือ "ล้มเวที"


************************
จุฑาคเชน :  26 ก.พ.2555

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปรากฎการณ์ "แจ้งความกับสังคม" ปู...อายทั้งแผ่นดิน

ที่มาของภาพ
ASTV ผู้จัดการออนไลน์
ผมเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในกรณีที่ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร  ถูกทำร้ายร่างกายที่โรงแรมโฟร์ซีซั่น เมื่อวันที่ 8 ก.พ.2555 หลังจากเห็น น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หนีการประชุมสภาช่วงบ่าย ไปพบนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่บริเวณชั้น 7 โรงแรมโฟร์ซีซั่นกว่า 2 ชั่วโมง  จนกลายเป็นประเด็น  "Talk of the Town เม้าท์กันทั้งเมือง เม้นต์กระจาย" อยู่ในขณะนี้


นายเอกยุทธ  อัญชันบุตร ไม่เลือกที่จะแจ้งความกับตำรวจเรื่องถูกทำร้ายร่างกาย เพราะคิดว่าคงไม่มีประโยชน์  แต่นายเอกยุทธฯ  เลือกที่จะ "แจ้งความกับสังคม" แทน โดยวิธีโพสต์ผ่านทาง Social media การแถลงข่าวผ่านสื่อมวลชน ฯลฯ จนทำให้ บรรดานักการเมืองลิ่วล้อหลายท่าน ต้องออกมาเต้นแรงเต้นกา ออกมาแย่งกันเป็นพยานบุคคล ออกมาหาวิธีแก้ต่างแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ  กันเป็นจ้าละหวั่น แม้กระนั้นสังคมก็ยังจับโกหกได้หลายราย

หลายคนหลายองค์กร รวมทั้งภาคสังคมต่างๆ  เร่งรัดให้นายกยิ่งลักษณ์ฯ  ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว  ในกรณีการเบียดบังเวลาราชการ ไปหารือผลประโยชน์ธุรกิจ หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงไปในการผิดประเวณี  จนผู้ตรวจการแผ่นดิน ต้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ ชี้แจงข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นการด่วน 

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร วันนี้ หลบหลีหนีหน้า พยายามโยงใยเรื่องราวให้ไปเกี่ยวกับ "เพศหญิง"  ว่าโดนรังแกให้แลดูน่าสงสาร  ตอนนี้เวลาท่านเดินไปเปิดงาน ร่วมพิธี หรือประชุมที่ไหน...หลายคนมองท่านอย่างไม่สนิทใจ  ดูเหมือนท่านอยากจะเอาปี๊บมาคลุมศีรษะเสียเหลือเกิน   ไม่พูดจาเจื้อยแจ้วจีบปากจีบคอเหมือนนายกนกแก้วคนเดิม  หลบไมค์ หลบนักข่าว หนีการสัมภาษณ์ ...เพราะเธอตอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้แก่สังคมไม่ได้......

วันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยกลายเป็นจำเลยของสังคมไปแล้ว ด้วยปรากฏการณ์ "การแจ้งความกับสังคม"  ไม่ว่าพยานหลักฐานของเธอจะเป็นอย่างไร   เธอก็ไม่สมควรจะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอีกต่อไป  มลทินครั้งนี้....ไม่มีวันลบเลือน  มลทินครั้งนี้ลือกระฉ่อนไปทั่วโลกเกินที่จะระงับยับยั้งแล้ว.....ผมรู้สึกอายที่นายกฯ หญิงคนแรกของไทยมีพฤติกรรมเยี่ยงนี้...ลาออกไปเถอะครับ...ก่อนที่ท่านจะพาให้ผู้หญิงอื่นๆ ต้องพลอยเสื่อมเสียศักดิ์ศรีไปกับพฤติกรรมของท่าน...มากไปกว่านี้  

นายกรัฐมนตรี ควรเป็นผู้แบกรับภาระของประชาชนคนไทย 
แต่วันนี้ ตัวนายกรัฐมนตรีเองกลับกลายเป็นตัวภาระที่ประชาชนคนไทยต้องแบกรับเอาไว้แทน


***********************************                     

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สัญญาณเริ่มปล้นประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเมื่อบ่ายวันที่ 22 ก.พ.2555 ว่าการออก พ.ร.ก.กู้เงิน และ พ.ร.ก.โอนหนี้ ของคณะรัฐมนตรีชุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ตามที่ฝ่ายค้าน และ สว.ร้องขอให้วินิจฉัย  ทำให้ผมคิดว่านี่คือ "สัญญาณการเริ่มปล้นประเทศไทยอย่างเป็นทางการ" ผมเคารพคำตัดสินของศาลท่านนะครับ  เพราะท่านวินิจฉัยประเด็นที่ว่า "ขัดหรือไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญเท่านั้น"  ไม่ได้วินิจฉัยว่าไอ้ พ.ร.ก.โอนหนี้เพื่อกู้เงิน ทั้ง 2 ฉบับนี้จะทำประเทศไทยเดินทางไปสู่ความหายนะในอนาคต  

ผมนึกถึงหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ของพระองค์ฯ ท่านขึ้นมาทันที ลองทบทวนกันดูนะครับ



















  • ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่นการผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ
  • ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ
  • การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและ การเปลี่ยนแปลงด้านการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล
ส่วน 2 เงื่อนไข คือการตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัยทั้งความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน ประกอบไปด้วย
  1. เงื่อนไขความรู้ หมายถึง ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตและการประกอบการงาน
  2. เงื่อนไขคุณธรรม คือ การยึดถือคุณธรรมต่างๆ อาทิ ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความเพียร การมุ่งต่อประโยชน์ส่วนรวมและการแบ่งปัน ฯลฯ
ทุกคนพร้อมที่จะดำเนินชีวิตตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ฯ 
แต่รัฐบาลชุดนี้ มันกลับทำตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง ชอบพูดแต่เรื่องนักลงทุนต่างชาติ, การส่งเสริมการลงทุน, มาตรการชดเชยภาษี, GDP, อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ, ดัชนีตลาดหุ้น ตลาดทุน,การแปรรูป ปตท. การบินไทย,การขึ้นราคาน้ำมันและพลังงาน, จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ, การออกเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้แก่ประชาชน, การขึ้นค่าแรง,การขึ้นเงินเดือน,บ้านหลังแรก, รถคันแรก, การกู้ยืมเงินเพื่ออนาคตประเทศไทย,การแก้ไขรัฐธรรมนูญ, พ.ร.บ.ปรองดอง, การเยียวยา ฯลฯ  แต่รัฐบาลไม่เคยพูดเรื่องไทยกำลังจะเสียดินแดนให้กับเขมร หรือการแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ได้ยินได้ฟังเลย...ตั้งแต่ขึ้นมาเป็นรัฐบาล


รัฐบาลนี้กำลังนำพาประเทศไทยของเราไปเป็นประเทศที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว นโยบายประชานิยมของรัฐบาล จะทำให้รัฐบาลใช้เงินเกินตัวเพื่อปรนเปรอประชาชนในระยะสั้น  (ไม่ใช่ประเทศที่ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเข็มทิศนำทาง)  จะเกิดการโกงกินคอรัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวงกันอย่างมโหฬารระหว่างนักการเมือง ข้าราชการ และนักธุรกิจ คนรวยจะยิ่งรวยขึ้น ข้าวจะยากหมากจะแพง คนไทยจะยากจนลงและเป็นหนี้สิ้นล้นพ้นตัวด้วยเงินกู้ บัตรเครดิต  หลายคนจะนั่งงอมืองอเท้า แบมือขอแต่ความช่วยเหลือจากรัฐบาล ในขณะที่พวกรัฐบาลจะเป็นเสมือนหนึ่งเทวดามาโปรดประชาชน  คนดีจะอยู่ในประเทศไทยไม่ได้  เพราะมีแต่คนไม่ดีมาปกครองบ้านเมือง ฯลฯ (สาธยายไม่หมดครับ) 


สรุปว่าในอนาคตประเทศไทยจะเสียเอกราช...ตกเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจของบรรดาเหล่านายทุนข้ามชาติทั้งหลายในอีกไม่ช้านานนี้ ด้วยนโยบายประชานิยมของรัฐบาล ดังมีตัวอย่างให้เห็นเช่น กรีซ เป็นต้น 

สัญญาณการปล้นประเทศไทย
เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อบ่ายวันที่ 22 ก.พ.2555
ยกต่อไปคือ "การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่"

************************

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อริยสัจ 4 กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

อริยสัจ แปลว่าความจริงอันประเสริฐ  เป็นหลักคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกอบด้วยความจริงสี่ประการ คือ  
  1. ทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
  2. สมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
  3. นิโรธ  คือ ความดับทุกข์
  4. มรรค คือ หนทางหรือแนวทางปฏิบัติที่นำไปสู่ความดับทุกข์
หากเรานำหลักอริยสัจ 4 นี้มาอธิบายถึง พฤติกรรมของ นช.ทักษิณ ชินวัตร และนักการเมืองพรรคเพื่อไทย รวมทั้งกลุ่ม นปช.เสื้อแดงที่พยายามจะยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากการรัฐประหารไม่เป็นประชาธิปไตย วิธีคิดของคนพวกนี้ น่าจะพออธิบายตามหลักความจริงอันประเสิรฐทั้งสี่ ได้ดังนี้  

ทุกข์ คือ ประวัติศาสตร์ชาติไทยจะบันทึก จารึกและสั่งสอนกันต่อๆ ไปชั่วลูกหลานว่า นาย "ทักษิณ" อดีตนายตำรวจยศ พ.ต.ท. นามสกุล "ชินวัตร"  คือ ผู้ที่โกงชาติ ปล้นแผ่นดิน เอาผลประโยชน์เข้าตัวเอง คิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ จนกระทั่งกองทัพต้องออกมากระทำรัฐประหาร  ยึดทรัพย์จับดำเนินคดี จากเคยดำรงตำแหน่งถึง "นายกรัฐมนตรี" ต้องกลับกลายเป็น "นักโทษชาย" ที่หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ จนกระทั่งต้องสิ้นชีพตักษัยอยู่ในต่างประเทศนั่นเอง

สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์  คือ ไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ชาติไทยบันทึกเกี่ยวกับตระกูล "ชินวัตร" ไว้เช่นนั้น (ส่วนสาเหตุที่แท้จริงก็คือ ความทะยานอยากในกามา มักใหญ่ใฝ่สูง รัก โลภ โกรธ หลง ต้องการเงินและอำนาจของนายทักษิณฯ นั่นเอง จึงทำให้นายเป็นเยี่ยงนี้)

ความดับทุกข์ คือ นช.ทักษิณ ชินวัตร ต้องการเดินทางกลับมาประเทศไทยอย่างสง่างาม และกลับมาเรืองอำนาจใหม่ 

หนทางสู่ความดับทุกข์  แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้างมลทิน ล้างคดีให้หมดให้สิ้น ให้การรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ.2549 เป็นโมฆะคืนอำนาจ คืนความชอบธรรม คืนเงินและทรัพย์สินให้แก่ นช.ทักษิณ ชินวัตร 

วิธีดับทุกข์ให้ประชาชน
ผมไม่เห็นว่าประชาชนจะเป็นทุกข์อะไรกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 จนถึงขั้นต้องออกมาแก้ไข และเชื่อว่าหลายคนยังไม่เคยอ่านรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำไป  ความดับทุกข์ของประชาชนคือ การอยู่ดีกินดี การมีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ 

หนทางที่จะดับทุกข์ให้ประชาชน ไม่ใช่การแก้รัฐธรรมนูญ
หนทางดับทุกข์ให้ประชาชน คือ การบริหารประเทศอย่างชาญฉลาด  

ประเทศไทยเรากำลังจะเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง ประเทศกำลังจะมีหนี้สิ้นล้นพ้นตัว น้ำมัน 3 ลิตร 120 บาท ไข่ราคาฟองละ 3 บาท ข้าวแกงราคา 50 บาท คนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนกลับจนลง และเป็นหนี้ท่วมหัว นายทุนต่างชาติเข้ามาครอบงำวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนไทย ในขณะที่เด็กๆ กำลังจะมีแท็บเล็ต แต่พ่อแม่กลับไม่มีสตางค์จะซื้อข้าวให้ลูกกิน......... 

**********************************
จุฑาคเชน : 17 ก.พ.2555

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Tablet ไทยเวอร์ชั่น

ในที่สุด รัฐบาลไทยก็ตัดสินใจซื้อแท็บเล็ต เพื่อแจกนักเรียนชั้น ป.1 ของเราตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้จำนวน 800,000 เครื่องกับรัฐบาลจีน แบบ government to government (G to G) โดยใช้วิธีนำข้าวไปแลกกับแท็บเล็ต และผมเชื่อว่าไม่ว่ารัฐบาลไหน ก็คงต้องมีการแจกแท็บเล็ตอย่างนี้กันต่อไป

หากเรารู้ว่าในอนาคตเราคงต้องแจกแท็บเล็ตอย่างนี้ให้เด็กๆของเราเป็นประจำทุกปี ปีละเกือบ 1 ล้านเครื่อง ผมเสนอว่า "เราควรจะหันกลับมาวางแผนหาทางผลิตแท็บเล็ตเองมากกว่าที่จะต้องซื้อใหม่จากต่างชาติเป็นประจำทุกปี"  ผมว่าคนไทยมีคนเก่งอยู่มาก แต่เรามักไม่ให้โอกาสพวกเขา พวกเขาจึงต้องระเหเร่ร่อนไปสมัครงานเป็นลูกจ้างของบริษัทฯต่างชาติแทน รัฐบาลไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับนโยบายการวิจัยและพัฒนา เราเป็นประเทศที่ชอบซื้อเทคโนโลยี มากกว่าเป็นประเทศที่จะสร้างเทคโนโลยี คนจีนในสมัยก่อนก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรไปมากกว่าเรา มีการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ด้วยซ้ำไป แต่วันนี้เรากลับต้องซื้อเทคโนโลยีจากเขา

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นชัดว่า รัฐบาลไทยแต่ละสมัยไม่ค่อยสนใจในการวิจัยและพัฒนา เช่น สมัยก่อนหลายคนคงได้เคยสัมผัสและใช้งาน "เวิร์ดจุฬา" และ "เวิร์ดราชวิถี" ก่อนที่จะมีไมโครซอร์ฟเวิร์ดด้วยซ้ำไป ใช้กันอย่างกว้างขว้างในแวดวงราชการและสถานศึกษา ทั้งสองเวิร์ดสร้างและพัฒนาโดยคนไทยแท้ๆ คือ สถาบันบริการคอมพิวเตอร์ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และชมรมไมโครคอมพิวเตอร์ โรงพยาบาลราชวิถี แต่กลับไม่มีการต่อยอด วันนี้...เวิร์ดเหล่านี้ตายไปหมดแล้ว กลายเป็นเพียงแค่ตำนาน วันนี้เราจึงต้องใช้เทคโนโลยีของคนอื่นอยู่ร่ำไป

รัฐบาลน่าจะจัดสรรงบประมาณแก่สถาบันวิจัย สถาบันการศึกษาต่างๆ ของไทยที่มีอยู่มากมายช่วยกันระดมมันสมอง อาจจัดตั้งเป็นทีมงานวิจัยและพัฒนาสร้างต้นแบบ "Tablet ไทยเวอร์ชั่น" ขึ้นมาสักเครื่องหนึ่ง เสร็จแล้วนำมาผลิตเพื่อแจกจ่ายให้เด็กๆ ของพวกเราใช้เรียนหนังสือ แรกๆ อาจจะไม่ดีนักก็ค่อยพัฒนาปรับปรุงเป็นเวอร์ชั่นใหม่กันไปเรื่อยๆ  หากเป็นอย่างนี้ ต่อไปเราก็จะมีเทคโนโลยีที่เป็นของเราเอง ไม่ต้องพึ่งพาจากผู้อื่น  แถมอนาคตอาจสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นเชิงพาณิชย์ได้อีกทางหนึ่งด้วย

ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ
ไทยไม่เคยทำ ชอบซื้อเขามาใช้ แล้วใครเจริญ


***********************************
ชาติชาย  คเชนชล : 14 ก.พ.2555

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รักเมืองไทย เดินหน้า (ปล้น) ประเทศไทย

รัฐบาลกำหนดจัดงาน "รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย"  ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555 ณ ทำเนียบรัฐบาล   โดยอ้างว่าเพื่อสร้างความสมานฉันท์ สมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ ให้ประเทศเดินหน้าไปอย่างมั่นคง รวมทั้งเป็นการขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ช่วยเหลือปัญหาอุทกภัยที่ผ่านมาจนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ โดยงานนี้มี คณะรัฐมนตรี คู่สมรส คณะทูตานุทูต หัวหน้าส่วนราชการ ผบ.เเหล่าทัพ ประธานศาล ประธานองค์กรอิสระ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรณ์น้ำ (กยน.) และคณะกรรมการยุทศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ร่วมงานประมาณ 500 คน และได้เรียนเชิญพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นประธานเปิดงาน และยังมีการถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และโมเดินไนท์ทีวีอีกด้วย

"วันก่อน...กูและพรรคพวกเคยใหญ่ แต่ถูกพวกมึงมายึดอำนาจขับไล่ให้กูต้องไปอยู่ต่างประเทศ ...แต่วันนี้กูและพรรคพวกกลับมาใหญ่อีกครั้งหนึ่ง จึงขอเชื้อเชิญพวกมึงมาร่วมงานฉลองความยิ่งใหญ่ของกูและพรรคพวก...ให้เห็นกับตา" 
ผมว่าเหตุผลนี้...น่าจะเป็นวัตถุประสงค์ของการจัดงานที่แท้จริง แถมยังมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วประเทศให้บรรดาเหล่าสาวกเสื้อแดงได้ร่วมเฉลิมฉลองด้วย  

ความปรองดองสมานฉันท์ที่แท้จริงคือ การทำคนถูกให้ถูก การทำคนผิดให้ผิด ไม่ใช่การจัดงานเลี้ยง  และที่อ้างว่าเพื่อขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยกันการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา มันน่าจะเป็น "ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยกันทำให้น้ำท่วมประเทศไทย ทำให้ฉันมีข้ออ้างในการกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท"  

ที่มาของภาพ :เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์
http://www.thairath.co.th/
น่าสงสารท่านพลเอกเปรมฯ "หากรัฐบาลเขาเชิญมาไม่ไปก็จะโดนว่า ไม่ให้เกียรติ รังเกียจ ฯลฯ หากไปตามมารยาท  ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล...ก็ว่าเอาอีก"  เป็นผู้ใหญ่นี้ลำบากมากในการวางตัว แต่ยังไงๆ คนที่ได้ประโยชน์ก็คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย มีแต่ได้กับได้ การจัดงานครั้งนี้ หลายคนแสดงความเห็นไว้ในท้ายบทความและเครือช่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ ว่า ข้ออ้างในการจัดงานไม่สมเหตุสมผล ไม่เหมาะสมทั้งสถานการณ์และเวลา เสียดายงบประมาณที่ใช้ในการจัดงาน มีเรื่องจำเป็นอื่นๆ น่าจะทำกว่านี้อีกมากมาย ฯลฯ ขณะที่ประชาชนกำลังต้องประหยัดและอดออม เนื่องจากภาวะข้าวยากหมากแพง แต่รัฐบาลกลับฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ จัดงานเลี้ยงกันที่ไม่จำเป็น แถมถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศอีก....คิดได้อย่างไรกัน    

แต่ก็ดูเหมือนความเห็นของประชาชนที่ออกมาติติงจะเหมือนการ "สีซอให้ควายฟัง"  มึงอยากเขียนก็เขียนไป เดี๋ยวมึงเบื่อ มึงก็เลิกเขียนเอง...รัฐบาลไม่เคยฟังความเห็นของคนพวกนี้หรอก ทั้งๆ ที่เป็นความเห็นของประชาชนคนไทยคนหนึ่ง และเงินที่ท่านจะใช้จัดงานเลี้ยงกันก็เป็นเงินภาษีของคนไทยเหล่านี้ด้วยเช่นกัน ที่ต้องเสียภาษีไปให้พวกท่านผลาญกันโดยไม่จำเป็น...หาใช่เงินส่วนตัวของท่านไม่

ผมเข้าใจดีว่าการจัดงานต่างๆ ก็เป็นเรื่องปกติที่สามารถทำได้  แต่มันควรจัดให้ถูกกับจังหวะเวลาและสถานการณ์บ้านเมือง  ทีปลายปีที่แล้วท่านสั่งงดการแสดงเฉลิมพระเกียรติในหลวงฯ เมื่อ 5 ธันวาคม 2554 โดยอ้างว่าใช้เงินมากไป ต้องลดค่าใช้จ่าย แล้ววันนี้ท่านกำลังทำอะไร... ท่านกำลังละลายเงินไม่ถึงชั่วข้ามคืนถึง 10 ล้านบาท...

"รักเมืองไทย เดินหน้า(ปล้น) ประเทศไทย"


*********************************
จุฑาคเชน : 9 ก.พ.2555

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อะไร คืออนาคตประเทศไทย ที่มาเร่ขายฝันให้ฟัง

ผมคิดว่าประเทศไทยกำลังถังแตก เงินงบประมาณแผ่นดินมีเพียงพอแค่เลี้ยงชีพให้พออยู่ได้  แต่ไม่เพียงพอที่จะสนองตอบต่อนโยบายประชานิยมของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ที่เที่ยวเร่ขายฝันเพื่อให้ได้มาเป็นรัฐบาล  รัฐบาลจึงกำลังพยายามผลักดันการกู้เงินจำนวน 3.5 แสนล้านบาทเพื่อมาเสริมสภาพคล่องของงบประมาณ โดยอ้างว่าเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พร้อมกับทำการย้ายหนี้จำนวน 1.14 ล้านล้านบาทที่มีอยู่ และทำการตกแต่งบัญชีกันเสียใหม่  


ไม่เห็นมีใครบอกว่าจะใช้หนี้อย่างไร
เงินจำนวน 3.5 แสนล้านบาทนี้ ผมไม่รู้ว่าในรายละเอียด รัฐบาลจะเอามาใช้ทำอะไรบ้าง เพราะไม่มีข้อมูล  ถึงแม้ว่านักการเงินการคลังจะบอกว่ากู้ได้ ตัวเลขหนี้สาธารณะยังไม่เกินที่ยอมรับ  แต่ผมว่ามันก็เป็นหนี้อยู่ดี  ซึ่งมันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยเสียด้วย  และผมไม่เห็นมีใครกล่าวถึงแผนการชำระหนี้เลยว่ามีแผนการชำระอย่างไร ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้น แล้วเราจะใช้หนี้ก้อนนี้หมดเมื่อไหร่ ภายในกี่ปี   ไม่เห็นมีใครออกมาจำแนกแจกแจงให้ฟังเลย  ดูแต่หนี้ 1.14 ล้านล้านบาทที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ กำลังจะซุกหนี้เป็นต้น เป็นหนี้มากี่รัฐบาลแล้ว ก็ยังใช้หนี้ไม่หมด แล้วหนี้ 3.5 แสนล้านบาทนี้จะใช้หมดเมื่อไหร่  จะเอาเงินรายได้มาจากที่ไหนในการนำมาใช้หนี้


อะไร คือ อนาคตประเทศไทย
รัฐบาลบอกว่าจะใช้เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทมาสร้างอนาคตประเทศไทย  อะไรคือ...อนาคตประเทศไทย ...ประเทศไทยจะเป็นอะไรในอนาคต...ประเทศไทยจะมีระบบการบริหารจัดการน้ำที่ดีเลิศ น้ำจะไม่มีวันท่วม น้ำจะมีเพียงพอต่อการชลประทาน การอุปโภคบริโภค ภัยแล้งจะหมดสิ้นไป.....ประเทศไทยจะเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี...เป็นผู้นำทางด้านเกษตรกรรม....เป็นผู้นำด้านการผลิตอาหารโลก.....เป็นผู้นำทางด้านการศึกษาวิจัย...เป็นผู้นำทางการแพทย์และสาธารณสุข...เป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรม...เป็นผู้นำด้านพลังงานในภูมิภาค...ประชาชนคนไทยจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีสุดในอาเชี่ยน เศรษฐกิจจะดี กินดีอยู่ดี มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์...หรือ อนาคตประเทศไทยเราจะเป็นประเทศที่มีหนี้สิ้นล้นพ้นตัว จนถึงขั้นล้มละลาย (ตามที่นักวิชาการและผู้ใหญ่หลายท่าน...ได้เตือนเอาไว้)

หากรัฐบาลนี้กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทได้จริง และตัวเลขการคอรัปชั่น 30% ก็เป็นจริง เงินจำนวน 1.05 แสนล้านบาทจะเข้าไปอยู่ในกระเป๋าของบรรดานักการเมืองชั่วและข้าราชการเลวทันที ขณะที่ประชาชนและประเทศไทยจะต้องแบกภาระหนี้กันไป อีกไม่รู้กี่ปี 

ผมว่า ประเทศไทยกำลังถูกปล้น ภายใต้เสื้อคลุม "ประชาธิปไตย" ทรัพยากรของเรากำลังจะถูกแย่งชิงดูดซึมไปอยู่ในมือของนายทุนพรรคการเมือง ท่ามกลางหนี้สิ้นอันล้นพ้นและความอดอยากยากแค้นของประชาชน ภาษีของเราที่ถูกเก็บ ถูกนำไปกองรวมไว้เป็นกองกลางให้นักการเมืองจัดสรรปันส่วนปู้ยี้ปู้ยำแย่งชิงเข้ากระเป๋าตัวเอง  การเมืองไทยขณะนี้ไม่เป็นประชาธิปไตยตามที่กล่าวอ้างกัน  แต่เป็น "เผด็จการผูกขาดโดยนายทุนพรรคการเมือง" ดังที่ ศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ได้ปาฐกถาเรื่อง “เผด็จการโดยพรรคการเมืองทุนนิยมผูกขาด” ไว้เมื่อวันที่ 6 ก.พ.2555 ที่ห้องประชุมคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ซึ่งมีการจัดเสวนาทางวิชาการเรื่อง “วิกฤตประเทศไทย ใครคือตัวการ?” โดยกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ท่าน ศ.ดร.อมรฯ ยังได้กล่าวถึงเรื่องรัฐธรรมนูญได้น่าคิดว่า เราร่างกันผิดไปหรือปล่าว เช่น
  • ส.ส.คือ ผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากราษฎร
  • แต่ ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง และพรรคการเมืองมีสิทธิปลด ส.ส.
  • ในขณะเดียวกัน นายทุนก็เป็นเจ้าของพรรคการเมือง
  • ตกลงว่า ใครมีอำนาจเหนือ ส.ส. และ ส.ส.ควรจะเชื่อฟังใคร
ท่านยังได้กล่าวถึงเรื่องหลัก Principal of Democracy ซึ่งผมพอสรุปได้ว่าในสมัยก่อนรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนว่า  ส.ส.ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็นของตนโดยบริสุทธิ์ใจ ไม่อยู่ภายใต้ความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายใดๆ  แต่รัฐธรรมนูญวันนี้ ส.ส.อย่าได้แหกมติของพรรคเป็นอันขาด ไม่ว่ามติของพรรคนั้นจะอัปยศแค่ไหน

ผมว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องตื่นขึ้นและลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เพื่อหยุดยั้งพฤติกรรมของนักการเมืองชั่ว ข้าราชการฉ้อราษฎร์  นักธุรกิจเลว ที่มีอยู่ให้เห็นมากมายในสังคมปัจจุบันนี้ เราต้องหันหน้ามาทบทวนและเอาจริงเอาจังก่อนที่อนาคตของประเทศไทยเราจะตกอยู่ในความหายนะ  เพราะความไม่สนใจ ไม่ใส่ใจของพวกเราเอง


ศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์
อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
และปรมาจารย์ด้านกฎหมายมหาชน
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

************************ 
จุฑาคเชน : 7 ก.พ.2555