วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ผมยังเชื่อว่ามีคนจงใจปล่อยให้น้ำท่วมประเทศไทย

สื่อมวลชนหลายสำนัก ได้รายงานความเสียหายจาก "มหาอุทกภัย พ.ศ.2554" ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยกว่า 64 จังหวัด  โดยได้รวบรวมมาจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีความเสียหายในวงกว้าง ตั้งแต่ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม การพาณิชย์ ภาคสถาบันการเงินและภาคครัวเรือน ซึ่งเป็นตัวเลขเบื้องต้นที่ได้มีการประเมินหลังจากสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มคลี่คลายในหลายพื้นที่ โดยมีความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1,000,000,000,000 บาท (หนึ่งล้านล้านบาท) (อ่านเพิ่มเติม)


ที่มาของภาพ
http://www.bangkokbiznews.com/

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ซึ่งผู้เขียนพยายามเปลี่ยนมุมมองความคิดจากการมองแบบเรื่องเล็กๆ น้อยๆ (Ant's-eye view)  เป็นมุมมองจากที่สูง (Bird's-eye view) โดยมีคำถามในใจเป็นแกนตั้งไว้ว่า "ใครได้อะไรบ้างจากน้ำท่วมในครั้งนี้"  นอกจากนั้นยังมีแรงบันดาลใจจากบทความของ ดร.ปิติ  ศรีแสงงาม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เขียนนิทานเรื่อง "รัฐบาลจงใจปล่อยให้น้ำท่วมเมืองหลวง" (อ่านรายละเอียด)  ไว้ใน Mblog ของผู้จัดการออนไลน์อีกทางหนึ่งด้วย


กองทุนเงินข้ามชาติขนาดใหญ่กำลังหาวิธีเคลื่อนย้ายเงินเข้าสู่ประเทศไทย
ผู้เขียนไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ เล่นหุ้นไม่เป็น และไม่ค่อยเข้าใจศัพท์แสงต่างๆ ในเรื่องการเงิน การคลัง หรือกองทุน อะไรมากนัก ผู้เขียนเพียงแต่มองตามความเข้าใจง่ายๆ เท่านั้นเอง กองทุนเงินข้ามชาติขนาดใหญ่มันมีอยู่ในโลกนี้จริง มันกำลังทำเงินรายได้ผ่านการเล่นหุ้น การปั่นราคาพลังงาน และการปล่อยเงินให้กู้ยืมแก่ประเทศต่างๆ ผ่านสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้น 

ปัจจุบันหลายๆ ประเทศในโลก เริ่มมีปัญหาล่มสลายทางเศรษฐกิจ  เป็นโรคมีหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ที่กู้ยืมมา แม้แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาก็ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ และยังไม่สามารถหามาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ยังเกินตัวอยู่ได้ 

ที่มาของภาพ
http://www.mbamagazine.net
/home/index.php/blog/
43-bizandfinance/180--m-m-s
การกู้เงินต่างประเทศครั้งแรกของประเทศไทย
ประเทศของไทยกู้เงินต่างประเทศเป็นครั้งแรกปลายปี พ.ศ. 2445 ในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อใช้ในการสร้างทางรถไฟสายเหนือ โดยผ่านทางธนาคารฮ่องกงฯ และธนาคารแห่งอินโดจีนเป็นผู้จัดจำหน่ายพันธบัตรของไทยจำนวน 1 ล้านปอนด์สเตอลิงในตลาดการเงิน ณ กรุงลอนดอนและปารีส

ตั้งแต่นั้นมาประเทศไทยก็ยังไม่เคยหยุดชำระหนี้แก่ต่างประเทศเลยจนกระทั่งถึงปัจจุบัน  ประเทศไทยยังเป็นลูกหนี้ที่ดีเสมอ  และยังไม่เป็น "โรคหนี้สินล้นพ้นตัว" 

หาลูกหนี้รายใหม่
เมื่อลูกหนี้เก่าไม่มีเงินชำระหนี้คืน เช่น เม็กซิโก  อาร์เจนติน่า เวเนซูเอลา บราซิล  และเร็วๆ นี้คือ กรีซ กองทุนข้ามชาติขนาดใหญ่เหล่านี้ จึงต้องเร่งหาลูกหนี้รายใหม่ และเล็งมายังประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชีย เพราะในยุโรป อเมริกา และอาฟริกา เริ่มหากินไม่ได้แล้ว

ทำอย่างไร? จะเพิ่มเพดานหนี้ให้แก่ประเทศไทย
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีประวัติการชำระหนี้ดี ถือเป็นลูกค้าชั้นดี  ดังนั้นบรรดาอภิมหาเศรษฐีจากยุโรป ตะวันออกกลาง  ดูไบ  สิงคโปร์ และจากไทย คือ นักโทษชายนายทักษิณ ชินวัตร  ซึ่งเป็นผู้ลงทุนคนหนึ่งในกองทุนข้ามชาติขนาดใหญ่เหล่านี้  จึงอยากจะเพิ่มเพดานเงินกู้ให้แก่ประเทศไทยลูกหนี้ที่แสนดี ประกอบกับ นช.ทักษิณฯ มีเครื่องมือที่สำคัญที่จะช่วยเหลืออยู่แล้ว คือ รัฐบาล

"ฆ่าประชาชน เผาบ้านเผาเมือง ทุจริต คอรัปชั่น โกงกิน ก็ทำมาหมดแล้ว กะอีแค่ปล่อยให้น้ำท่วมประเทศไทยอีกสักครั้งจะเป็นอะไรไป"

เพราะหลังน้ำลดประเทศไทยจะต้องเป็นหนี้มหาศาล  บรรดาอภิมหาเศรษฐีทั้งหลายก็จะได้อิ่มหมีพลีมันกับดอกเบี้ยและเงินปันผลที่ได้รับกันไปอีกนาน




รัฐบาลแกล้งทำโง่ ปล่อยให้น้ำท่วม  
น้ำท่วมครั้งนี้ ไม่ได้รวดเร็วรุนแรงจนกระทั่งตั้งตัวไม่ทัน อย่างเช่น น้ำป่าไหลหลากหรือดินโคลนถล่ม  แต่เป็นน้ำที่เรารู้ล่วงหน้าว่ามันมีอยู่เท่าไหร่ มันเดินทางได้เร็วแค่ไหน แล้วมันน่าจะระบายไปทางไหน ดังนั้นเราจึงน่าจะมีเวลาบริหารจัดการมันได้ทัน

"น้ำมันไม่มีชีวิต มันไม่มีความคิด แต่วันนี้มีคนคิดให้น้ำ
น้ำมันรู้อย่างเดียวว่ามันจะไหลลงไปยังที่ที่ต่ำกว่า  
และเราก็รู้ว่า ถ้าเมื่อน้ำมันถูกกักขัง มันก็จะกลายเป็นน้ำท่วมขัง 
กลายเป็นน้ำนิ่ง และเมื่อน้ำนิ่งก็จะกลายเป็นน้ำเน่าในที่สุด"

ระดับรัฐมนตรี ข้าราชการประจำ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำที่มีอยู่จำนวนมากในประเทศไทย ล้วนเป็นผู้มีประสบการณ์เกี่ยวกับน้ำท่วมและผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาทั้งนั้น ผมไม่เชื่อว่าจะบริหารจัดการน้ำก้อนนี้ไม่ได้ ยกเว้น "ทักษิณฯ จงใจ...สั่งรัฐบาลว่าไม่ต้องบริหารมัน"  ปล่อยให้ท่วมนิคมอุตสาหกรรม โรงงาน บ้านเรือนราษฎร ยิ่งเลี้ยงน้ำ เก็บน้ำ เอาไว้นานๆ ยิ่งดี เพราะจะได้สร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจ นอกจากนั้นยังสามารถช่วยสร้างความแตกแยกให้ประชาชนทะเลาะกันเองอีกทางหนึ่งด้วย ยิ่งท่วมนาน ยิ่งดี ยิ่งสร้างหนี้ ยิ่งผลาญเงินได้เยอะ 


หลังจากน้ำลด หนี้ท่วม
หลังจากน้ำลด ประเทศไทยต้องกู้ยืมเงินจากต่างประเทศจำนวนมากเพื่อมาฟื้นฟูและเยียวยา จำนวนหนี้สาธารณะจะเพิ่มมากขึ้น   เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมทั้งขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ต่างขาดทุนและเป็นหนี้เงินกู้เพื่อมาฟื้นฟูโรงงานกันถ้วนหน้า ประชาชนหลายคนตกงาน และอีกหลายคนต้องเป็นหนี้เงินกู้ธนาคารและสถาบันการเงินเพื่อนำมาซ่อมแซมปรับปรุงบ้านที่พักอาศัย  เข้าข่าย "น้ำลด หนี้ท่วม"

ประเทศไทยจะกลายเป็น "ประเทศที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว" ทุกภาคส่วนรวมทั้งประชาชนจะถูกรัฐบาลขูดรีดภาษีจำนวนมากเพื่อนำไปใช้หนี้กันถ้วนหน้า หากภาครัฐและภาคประชาชนยังไม่หยุดใช้จ่ายเงินเกินตัวอีก ประเทศไทยอาจจะถูก Take Over จากกลุ่มบุคคลบางกลุ่มในที่สุด เหมือนกับเหตุการณ์ในต่างประเทศที่มีให้เห็นเป็นตัวอย่าง  และนี่คือวิธีครอบครองประเทศไทยอีกรูปแบบหนึ่ง มาซึ่งหน้าไม่ได้ ก็มาอย่างลับลับ

ท่านผู้อ่านลองคิดถึงความสัมพันธ์ของคำต่างๆ เหล่านี้ดูนะครับ

กองทุนข้ามชาติขนาดใหญ่ ->   จงใจปล่อยให้น้ำท่วม -> กู้เงินต่างประเทศมากขึ้น -> ไม่มีปัญญาชำระหนี้้-หนี้สินล้นพ้นตัว -> การเปลี่ยนแปลงการปกครองสถาปนารัฐไทยใหม่















*************************************
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ อาจไม่เป็นจริงก็ได้ หากท่านผู้อ่านเห็นว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้ ช่วยกรุณาเผยแพร่ต่อไป อันจะเป็นคุณูปการอย่างยิ่งต่อประเทศไทยของเรา

จุฑาคเชน : 25 พ.ย.2554

อ่านเพิ่มเติม

ไม่มีความคิดเห็น: