วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

นโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์สวนทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ประชาชนทุกคน ทุกหมู่เหล่า องค์กรทุกภาคส่วน ทุกหน่วยงาน ทั้งของภาครัฐและเอกชนต่างประกาศก้องตั้งปณิธานว่า ตนเองได้น้อมนำ "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มายึดถือเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตและแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่การงาน  ตามแนวคิด 3 ห่วง 2 เงื่อนไข คือ "ความพอประมาณ ความมีเหตุผล ความมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี  ภายใต้เงื่อนไขความรู้ และคุณธรรม" แต่วันนี้ รัฐบาลไทยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังดำเนินนโยบายสวนทางโดยสิ้นเชิง

วันนี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กำลังทำอะไร
รัฐบาลกำลังถลุงเงินรายได้ของประเทศไทยทั้งหมดไปให้นายทุน จูงใจให้คนรากหญ้า จนถึงระดับคนชั้นกลางเป็นหนี้ กดหัวด้วยหนี้สิ้น จะได้ลืมตาอ้าปากไม่ขึ้น เพื่อตกเป็นสาวกของ "ลัทธิบูชาตัวบุคคล"  สร้างความเชื่อว่า "ถ้าเชื่อข้าฯ แล้วเอ็งจะมีเงิน จะกินดีอยู่ดี" แต่หารู้ไม่ว่าปีศาจตัวนี้กำลังจะทำให้เอ็งเป็น "ทาสแห่งหนี้สิน" ไปตลอดชีวิต  รัฐบาลนี้กำลังเร่งรัดจัดตั้งหมู่บ้านแดงขึ้นเพื่อเป็นฐานกำลัง ขยายเครือข่ายสาวก ให้ครอบคลุมทั่วพื้นที่ ช่วยกันทำลายประเทศไทยให้อ่อนแรง ถึงขั้นต้องเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เพื่อให้เหลือแต่นายทุนยักษใหญ่
นโยบายนี้ฟังดูผิวเผิน น่าจะดีต่อประชาชนผู้ใช้แรงงาน แต่เบื้องลึกแล้ว มุ่งหวังล้มทำลายบริษัท ห้างร้าน โรงงาน ผู้ประกอบการ และอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ให้หายสาบสูญไป เพราะไม่สามารถจ่ายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทให้แก่พนักงานได้ หลังจากนั้นก็จะเหลือเฉพาะบริษัทมหาชนยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย(ที่ตนเองและพรรคพวกเป็นนายทุน) เพียงแค่บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ ลดผลกำไรในปีนั้นลงมาสัก 10 ล้านบาท เพื่อมาจ่ายค่าแรง 300 บาทให้แก่พนักงานประเภทแรงงานของตนเอง มันช่างคุ้มค่ากับแผนการกำจัดคู่แข่งที่เปรียบเสมือนเหลือบยุงลิ้นไรค่อยไต่ตรอมอยู่ที่หน้าแข้ง เมื่อเหลือข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียวแล้ว ผลกำไรก็จะทวีเพิ่มพูนมหาศาล

ลดภาษีรถยนต์คันแรก บริษัทขายรถยนต์รวย
ประเทศไทยเสียรายได้จากการเก็บภาษี แต่ยอดขายและผลกำไรของบริษัทขายรถยนต์กลับทวีสูงขึ้น  บริษัทไฟแนนซ์ต่างอิ่มเอมเปรมใจ  ประชาชนขาดความพอประมาณ ขาดภูมิคุ้มกันที่ดี "ถูกความอยาก จูงใจให้ไปเป็นหนี้ซื้อรถยนต์"  จ่ายเต็มก่อน เป็นหนี้เต็มก่อน อีกหนึ่งปีถึงจะได้เงินภาษีคืน (หากจริงใจทำไม่ลดภาษีตั้งแต่ตอนซื้อเลย นี่คือแผนการชะลอการจ่ายเงินเพื่อไม่ให้กระทบต่อเสถียรภาพการเงินของรัฐบาล เพราะรัฐบาลต้องกันไว้จ่ายตามนโยบายประชานิยมที่หาเสียงอีกหลายรายการ) เมื่อมีรถยนต์มากขึ้น นายทุนบริษัทขายน้ำมัน ก็ขายน้ำมันได้มากขึ้นตามไปด้วย

ลดภาษีบ้านหลังแรก บริษัทบ้านจัดสรรรวย
เรื่องนี้คำสำคัญคือต้อง "ซื้อ" ไม่ใช่ "ปลูก" นั่นหมายถึงยอดขายและผลกำไรจะตกอยู่กับบริษัทที่ทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลายอย่างมโหฬาร ประชาชนถูกจูงใจให้เป็นหนี้ระยะยาว ประเทศไทยต้องเสียรายได้จากภาษีบ้านจัดสรรนี้อีกไม่รู้สักเท่าไหร่   คำถามมีอยู่ว่าหากประชาชนต้องการจะปลูก(ไม่ใช่ซื้อ) บ้านหลังแรก บนที่ดินของเขาเอง เขาจะได้สิทธิพิเศษอะไรบ้าง เรื่องนโยบายลดภาษีบ้านหลังแรกนี้ ก็คือ การนำเงินจากธนาคาร หรือสถาบันการเงิน ไปให้ประชาชนกู้ และผลกำไรจะไปตกอยู่ที่พวกนายทุนอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลายอย่างแนบเนียน แต่คนที่ดูแย่ที่สุดก็คือ ประชาชนที่ต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้ นั่นเอง 

จำนำข้าว...ชาวนาเป็นหนี้
ขึ้นชื่อว่า "การจำนำ" ผู้ที่นำสิ่งของเครื่องใช้ไปจำนำ ณ โรงรับจำนำ ก็ถือว่าเป็น "ลูกหนี้โรงรับจำนำ"  วันนี้รัฐบาลกำลังทำตัวเป็นโรงรับจำนำระดับประเทศ ผ่านทางเครือข่ายโรงรับจำนำของพรรคพวก เพื่อให้ชาวนาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นหนี้อย่างโงหัวไม่ขึ้น เป็น"ทาสแห่งหนี้สิน" ไปตลอดกาล และชาวนาเหล่านี้ ในอนาคตจะเป็นสาวกที่จงรักภักดีของเขาต่อไป ผู้หลักผู้ใหญ่และนักวิชาการหลายท่านก็ออกมาเตือนว่า "การจำนำข้าวนี้เสี่ยงต่อการขาดทุน และเสี่ยงต่อการทุจริตคอรัปชั่นอย่างมโหฬารเหมือนในอดีตที่ผ่านมา" แต่รัฐบาลก็ไม่เคยฟังเพราะเขารู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรเพื่อให้ประเทศชาติล่มจ่ม 

ยังมีอีกหลายเรื่องที่รัฐบาลนี้ทำ เช่น การแจกแท็บเล็ต นักเรียน ป.1 การขี้นเงินเดือนระดับปริญญาตรี 15,000 บาท การโยกย้ายข้าราชการอย่างไม่เป็นธรรมเพื่อให้พรรคพวกตัวเองได้เป็นใหญ่ เป็นต้น

จากนโยบายรัฐบาลที่กล่าวมาล้วนสวนทางกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโดยสิ้นเชิง รัฐบาลพยายามสอนให้ประชาชนฟุ่มเพือย เป็นหนี้ ไม่รู้จักพอประมาณ ไม่ต้องมีเหตุผล มีเงินก็พอ ไม่ต้องมีภูมิคุ้มกันถึงเวลาป่วยก็มารับยาไปกิน ไม่จำเป็นต้องเสริมสร้างความรู้ให้ประชาชน และทำทุกอย่างเพื่อทำลายระบบคุณธรรม

เรากำลังพยายามสอนเด็กนักเรียนของเราให้รู้จักน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำรงชีวิต แต่รัฐบาลของเรากำลังสอนให้ประชาชนของเขาหลงทาง 

ผมเชื่อว่ารัฐบาลนี้ เขาไม่โง่หรอก เขารู้ดีว่า "เขากำลังทำอะไรอยู่ และเขายังรู้อีกด้วยว่าการกระทำของเขานี้ จะนำพาประเทศไทยไปสู่ความหายนะ"

แต่นั้นคือจุดมุ่งหมายที่พวกเขาตั้งใจ เพราะเขาต้องการเปลี่ยนประเทศไทยไปสู่การปกครองใหม่ตามความเชื่อของพวกเขา การที่จะทำเช่นนี้ได้ก็คือ การทำให้ประเทศไทยเกิดความอ่อนแอและบอบช้ำ จากนั้นเขาจะเป็นอัศวินขี่ม้าขาวเขามาช่วย...แค่นี้ก็เป็นอันสำเร็จ

ตอนนี้ ไฟกองใหญ่เริ่มลุกโชน ตั้งใจเผาผลาญประเทศไทยให้เป็นจุณ ผมถือแก้วน้ำเล็กๆ ใบเดียวคงไม่สามารถดับไฟกองใหญ่กองนี้ได้เพียงลำพัง แต่หากมีแก้วน้ำหลายๆ ใบมารวมกันแล้ว พวกเราอาจจะช่วยกันดับไฟกองนี้ได้ แต่วันนี้คนไทยมีแต่ความกลัว กลัวที่จะกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง กลัวที่จะออกมาพูด กลัวที่จะออกมานำเสนอความจริง กลัวที่กล้าออกมาเสี่ยง กลัวว่าตัวเองจะไม่ปลอดภัย กลัวที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้ง กลัวที่จะกล้าออกมาเสียสละ กลัวที่จะกล้าออกมาเปลี่ยนแปลง ฯลฯ ผมยังจำประโยคๆ หนึ่งเกี่ยวกับความกลัว ได้ว่า

"ความกลัว ทำให้เกิดความเสื่อม"

พระนเรศวรยังไม่กลัวที่จะประกาศอิสรภาพ
พระเจ้าตากสินยังไม่กลัวที่จะแหกวงล้อม 
แล้วเรา....กำลังกลัวอะไรกัน

*****************************************
หมายเหตุ :
  • แนะนำบทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม "นิทานก่อนการเลือกตั้ง"
  • ผมไม่กลัวที่จะเขียน  แต่ผมกลัวว่าจะไม่มีคนกล้าพอที่จะช่วยเผยแพร่เรื่องราวเหล่านี้ต่อไปมากกว่า

ชาติชาย คเชนชล 21 ก.ย.2554  

ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.สู่ชนบท ปีที่ 22 ฉบับที่ 389 ประจำเดือนตุลาคม พุทธศักราช 2554 หน้า 3

1 ความคิดเห็น:

กุ่ง กล่าวว่า...

และเราเคยเห็นกันแต่โปสเตอร์ตำรวจจูงเด็กข้ามถนน เป็นต้น แต่เดี๋ยวนี้ กลายเป็น "สุขเถิดปวงประชาตัวข้าจะคุ้มภัย" และเป็นรูปดามาพงษ์เดี่ยวๆเต็มๆเลย อีกหนึ่งตัวอย่างที่เค้าต้องการจะสื่อ..