วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ปลาตะเพียนสานของยาย

เมื่อเย็นวานนี้ ผมและภรรยาได้ไปเดินซื้อของที่ตลาดโคยกี๊ ราชบุรี ริมแม่น้ำแม่กลอง  รู้สึกว่ามีของขายน้อยลงกว่าเมื่อก่อน  ผู้คนก็แลดูบางตา อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงฤดูฝนก็ได้จึงทำให้เป็นเช่นนี้ 

ระหว่างที่เดินอยู่นั้น ผมได้เดินตามหลัง ยายสูงอายุคนหนึ่ง หลังโกงเดินกระย่องกระแย่ง เร่ขายพวกตั๊กแตน ปลาตะเพียน ซึ่งสานมาจากใบตาล สีของตั้กแตนและปลาตะเพียนออกจะดูเหลืองซีดไม่เขียวแล้ว คงเพราะขายมาหลายวัน แต่ยังขายไม่ได้  ผมตั้งใจจะแอบถ่ายรูปแกไว้ พอดีแกหยุดเดินแล้วหันไปซื้อน้ำดื่ม แกคงจะหิวน้ำ ในมือแกก็กำธนบัตรใบละ 20 บาท ที่ยับยู่ยี่และเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ  ผมแอบถ่ายรูปยายแกไว้ได้พอดี 

หลังจากนั้น ผมรีบเดินเข้าไปหายายทันที ด้วยความรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ และบอกยายว่า "ยาย...เดี๋ยวผมเลี้ยงน้ำยายเอง" ผมควักเงินจ่ายค่าน้ำดื่มแทนยายไป 12 บาท 

ยายแกกล่าวขอบใจผมมาก 
แล้วแกก็หยิบปลาตะเพียนสานให้ผม 1 พวง 
ผมก็บอกยายแกว่า "ผมไม่เอาหรอกครับ" 

แต่ยายแกกลับบอกว่า
"ทีหลานยังให้ยายได้  ยายก็ให้หลานบ้างไม่ได้หรือ  ยายให้จริงๆ"
แล้วแกก็พยายามคะยั้นคะยอที่จะให้ผมให้ได้  จนผมต้องยอมรับปลาตะเพียนสานของแก 

ผมบอกต่อว่า "แล้วยายจะคุ้มหรือครับ ผมไม่รู้ปลาตะเพียนสานพวงนี้ มันราคาเท่าไหร่ อาจจะมากกว่าเงิน 12 บาทที่ผมเลี้ยงยายก็ได้"  ยายตอบกลับมาว่า "ต้นทุนไม่เท่าไหร่หรอกหลานเอ๋ย....เพราะยายทำเองกับมือ" ผมแอบถามต่อว่ายายมาจากไหน ยายแกตอบว่า "ยายมาจากสุพรรณบุรี"

ผมรีบลายายและเดินจากมาทันทีพร้อมกับปลาตะเพียนพวงนั้น เพราะผมไม่อยากฟังเรื่องราวของยายต่อ ผมกลัวจะได้ยินเรื่องราวที่มันจะทำให้จิตใจหดหู่ เช่น

ลูกหลานมันมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว...ยายจึงอยู่คนเดียว
หรือ ยายไม่มีลูก ยายไม่มีผัว ยายอยู่ตัวคนเดียว....
หรือ พวกยายมากันทั้งหมู่บ้าน...เดินทางขายของเร่เรื่อยไปตามจังหวัดต่างๆ...พอได้เงินเก็บสักก้อนก็กลับบ้านทีหนึ่ง
หรือ...  หรือ..... หรือ.....ฯลฯ

เดินต่อมาอีกไม่ไกลนัก เราสองคนพบกับเด็กอายุประมาณสองสามขวบคนหนึ่งกำลังร้องไห้งอแง ร้องจะซื้อของเล่นที่วางขายอยู่ข้างทาง  ผมสังเกตแล้วเห็นว่าพ่อแม่ของเด็กคนนั้น น่าจะไม่ค่อยมีเงินมากนักที่จะซื้อของเล่นชิ้นนั้น และเขากำลังพยายามหลอกล่ออธิบายให้ลูกฟังต่างๆ นาๆ ว่าอย่าไปซื้อ มันไม่จำเป็น  

ผมและภรรยา จึงมอบ "ปลาตะเพียนสานของยาย" ให้แก่เด็กคนนั้น  เด็กดีใจและหยุดร้องไห้ทันที พ่อแม่ของเด็กก็กล่าวขอบคุณผมและภรรยาเป็นการใหญ่  หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินจากไป   

วันนี้ ผมและภรรยารู้สึกดีใจที่เราได้ "ให้"  อะไรหลายอย่างแก่คนที่เราพบ
เราสามารถทำให้พวกเขามีความสุข  แม้ว่าเราจะไม่รู้จักเขาเลยก็ตาม   

You can get everything in life you want,
if you help enough other people get what they want.
คุณจะได้ทุกสิ่งในชีวิตที่ต้องการ...
เพียงคุณช่วยเหลือคนอื่น ให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ

ขอบคุณ "ปลาตะเพียนสานพวงนั้นของยาย" ที่สามารถทำให้เด็กคนหนึ่งมีรอยยิ้มแห่งความสุขได้


*****************************

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรื่องของปู

ทุกคนคงเคยเห็น "ปู"  แต่อาจจะเห็นปูในมุมมองที่แตกต่างกันไป บางคนอาจเคยเห็นปูดำ บางคนอาจเคยเห็นปูแดง บางคนอาจเคยเห็นปูขาว และบางคนก็อาจเคยเห็นทั้ง ปูดำ ปูแดง และปูขาว

เรื่องของปูสามสีนี้ ผมเคยฟังการบรรยายพิเศษจากคุณนิติภูมิ เนาวรัตน์ ซึ่งปูสามสีนี้อุปมาเหมือนกับ คนที่มีเรื่องราวและผ่านประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป 

คนที่เคยเห็นปูดำ  หมายถึงคนที่รู้เรื่องราวของปูตั้งแต่มันยังมีชีวิต รู้ว่ามันอยู่ในรูอย่างไร มันจะออกมาจากรูเมื่อไหร่ มันไปกินอะไร และจะจับมันมาเป็นอาหารได้อย่างไร

คนที่เคยเห็นแต่ปูแดง หมายถึงคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราวชีวิตของปูเลย คนพวกนี้จะเห็นปู หลังจากถูกต้ม ถูกนึ่ง ถูกผัดแล้ว ใส่จานวางไว้บนโต๊ะอาหาร  แต่คนพวกนี้ก็ยังมีประสบการณ์ที่จะต้องแกะเนื้อปูกินเอง

คนที่เคยเห็นแต่ปูขาว หมายถึงคนที่ไม่เคนเห็นปูเป็นๆ เลย และไม่เคยเห็นปูหลังจากถูกต้ม ถูกนึ่ง ถูกผัด คนพวกนี้จะเห็นเพียงเนื้อปูสีขาวที่พร้อมจะรับประทานได้ทันที เพราะมีคนแกะมาให้เรียบร้อยแล้ว     



หากเราจะเลือกคนมาทำงานให้เราสักคนหนึ่ง เราจะเลือกใครดี?
หากเราเลือก คนที่เคยเห็นทั้งปูดำ ปูแดง และปูขาว
พวกเขาจะมีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ
สามารถรู้สาเหตุของปัญหาที่แท้จริง และแก้ปัญหาได้ถูกต้อง ตรงประเด็น

หากเราเลือกคนที่เคยเห็นแต่ปูแดงและปูขาว
งานของเราก็อาจจะสำเร็จได้เช่นกัน
แต่อาจต้องใช้เวลามากขึ้น

และหากเราเลือกคนที่เคยเห็นแต่ปูขาวแล้ว
เราจะแน่ใจได้อย่างไร ว่างานของเราจะสำเร็จ
เพราะเขาไม่เคยเห็นและรู้เรื่องราวอะไรของปูเลย
รู้อย่างเดียวว่า จะมีคนคอยแกะมาประเคนและป้อนให้

วันนี้ ประเทศไทยกำลังจะมี "ปู" เป็นนายกรัฐมนตรี
ผมหวังว่า "เธอ จะเป็นคนที่เคยเห็นทั้งปูดำ ปูแดง และปูขาว"
...และภาวนาว่า "เธอ จะไม่ใช่คนที่เคยเห็นแต่ปูขาว" เท่านั้น

********************************************
จุฑาคเชน : 22 ก.ค.2554


ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.สู่ชนบท ปีที่ 22 ฉบับที่ 387 ประจำเดือนสิงหาคม พุทธศักราช 2554 หน้า 3

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ใช่เสียงส่วนใหญ่หรือปล่าว?

การเลือกตั้ง ส.ส.ราชบุรี เมื่อ 3 ก.ค.2554 (ดูผลการเลือกตั้ง)
  • จำนวนผู้มีสิทธิ์ 627,318 คน มาใช้สิทธิ์ 518,257 คน (คิดเป็นร้อยละ 82.61)
  • ไม่มาใช้สิทธิ์ 109,061 คน
  • บัตรดี 463,036 ใบ
  • บัตรเสีย 28,871 ใบ
  • บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 21,350 ใบ
การเลือกตั้ง นายก.อบจ.ราชบุรี เมื่อ 17 ก.ค.2554  (ดูผลการเลือกตั้ง)
  • จำนวนผู้มีสิทธิ์ 614,031 คน มาใช้สิทธิ์ 261,652 คน (คิดเป็นร้อยละ 42.61)
  • ไม่มาใช้สิทธิ์  352,379 คน
  • บัตรดี 227,028 ใบ
  • บัตรเสีย 11,568 ใบ
  • บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 23,056 ใบ

คน 243,318 คน หายไปไหน
การเลือกตั้งทั่วไป ส.ส.ราชบุรี เมื่อ 3 ก.ค.54 ถือว่าเป็นการเลือกตั้งที่คนราชบุรีออกมาใช้สิทธิ์มากเป็นประวัติการณ์ถึงร้อยละ 82.61 และคิดเป็นคนที่ไม่สามารถมาใช้สิทธิ์ 109,061 คน

ส่วนการเลือกตั้ง นายก.อบจ.ราชบุรี ก็เป็นประวัติการณ์เช่นกัน คือมีคนมาใช้สิทธิ์เพียง ร้อยละ 42.61 และคิดเป็นคนที่ไม่สามารถมาใช้สิทธิ์ ถึง 352,379 คน

หากเราตั้งสมมติฐานว่า คนราชบุรีที่ไม่มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ส.ส.ราชบุรี จำนวน 109,061 คน  เป็นคนที่ติดธุระจำเป็น หรือไม่สนใจประชาธิปไตย หรือเป็นคนที่เบื่อหน่ายการเลือกตั้งจริงๆ  แต่ทำไม การเลือกตั้ง นายก.อบจ.ราชบุรี  กลับมีคนที่ไม่มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งสูงถึง 352,379 คน แสดงว่าช่วงเวลาเพียงสองสัปดาห์ มีคนราชบุรีที่ติดธุระ หรือไม่สนใจประชาธิปไตย หรือเบื่อหน่ายการเลือกตั้ง เพิ่มขึ้นถึง 243,318 คน (352,379-109,061)

หากเป็นนักแก้ตัว ก็จะอ้างว่า "เหตุผลที่คนมาเลือกตั้งน้อย เพราะเป็นวันหยุดยาว 4 วัน คนจึงไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหมด" ...หากท่านรู้อยู่แล้ว ทำไมจึงต้องจัดการเลือกตั้งขึ้นในวันนี้  ผู้เขียนได้พยายามสนทนากับผู้คนที่รู้จักกว่า 50 คนใกล้ตัว ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่โพลสำรวจ แต่ผู้เขียนกลับพบว่าคนส่วนใหญ่กว่า 30 คน มีทั้งที่ไม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง และไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แต่กาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน  ให้เหตุผลว่า

"เหตุที่ทำเช่นนี้เพราะ การเลือกตั้ง นายก อบจ.ราชบุรี ในครั้งนี้ ไม่มีความโปร่งใส ไม่ยุติธรรม เป็นฉากการเลือกตั้งที่จัดขึ้นเพื่อสนองตอบต่อความเห็นแก่ตัวของนักการเมืองคนหนึ่ง ที่ไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาต่อสู้ อาศัยช่องว่างของกฏหมายเอาเปรียบทางการเมือง"

ใช่เสียงส่วนใหญ่หรือปล่าว
หากหลักการการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีอยู่ว่า  "ต้องเป็นความเห็นของเสียงส่วนใหญ่" ดังนั้น การเลือกตั้ง นายก อบจ.ราชบุรี ในครั้งนี้ จึงน่าจะเป็นการเลือกตั้งที่ขัดต่อหลักประชาธิปไตย เพราะคนมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งเพียงร้อยละ 42.61 แสดงว่าคนอีกร้อยละ 57.39 ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่กว่า ไม่มาใช้สิทธิ์  ดังนั้นผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ จึงเป็นเสียงของคนส่วนน้อยเท่านั้น

ยกตัวอย่าง :  ถ้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีชาวบ้านอยู่ 100 คน กำหนดให้มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านโดยใช้เสียงส่วนใหญ่  ปรากฏว่ามีชาวบ้านมาเลือกตั้งเพียง 42 คน แต่อีก 58 คนไม่มาเลือกตั้ง  ดังนั้น ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเช่นใด ใครจะได้คะแนนเสียงมากน้อยอย่างไร ก็ถือเป็นการเลือกตั้งของชาวบ้านเสียงข้างน้อยอยู่ดี

แต่กฏหมายการเลือกตั้งของบ้านเรา ไม่เคยกำหนดว่า "การเลือกตั้งในแต่ละครั้ง จะต้องมีผู้มาใช้สิทธิ์เกินร้อยละ 50 ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง จึงจะให้การรับรอง"  ดังนั้นผู้มาใช้สิทธิ์จะมากน้อยเท่าใดจึงไม่มีผลต่อการเลือกตั้ง แต่อย่างใดทั้งสิ้น  (มีผลแค่เป็นตัวเลขใช้อ้างเพื่อขอความดีความชอบของบุคคลบางพวก บางกลุ่มเท่านั้น)  นี่คืออีกหนึ่งช่องว่าง ที่ทำให้นักการเมืองผู้ที่เอารัดเอาเปรียบฉกฉวยโอกาส และไม่เคยให้ความสำคัญของเสียงแห่งประชาชนโดยแท้จริง

การเลือกตั้ง จึงเป็นเพียงแค่พิธีกรรมในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น

การเลือกตั้ง นายก อบจ.ราชบุรี ในครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นการเลือกตั้งที่น่าอัปยศอดสูอีกครั้งหนึ่งของจังหวัดราชบุรี เพราะมีผู้มาใช้สิทธิ์ลงคะแนนเพียง ร้อยละ 42.61 ไม่ถึงครึ่ง 
  • หากผมเป็นผู้จัดการการเลือกตั้ง ผมจะออกมาขอโทษคนราชบุรี ที่บังอาจคิดว่า "คนราชบุรีโง่"
  • หากผมเป็นผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง ผมจะประกาศลาออก เพราะมีคนมาเลือกตั้งไม่ถึง 50% และในจำนวนไม่ถึง 50% นี้ก็เลือกผมเพียง 66.84% (นายวันชัย ธีระสัตยกุล ได้คะแนน 151,746 จากคะแนนบัตรดี 227,028) 
และสุดท้าย
ขอขอบคุณคนราชบุรี ที่สั่งสอนบทเรียนครั้งนี้ให้แก่นักการเมือง

**************************************************
จุฑาคเชน : 19 ก.ค.2554

อ่านเพิ่มเติมบทความที่เกี่ยวข้อง

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทำไมถึงได้ดูถูกกันนัก

ที่ จ.ราชบุรี บ้านผมกำลังจะมีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรีคนใหม่ ในวันอาทิตย์ที่ 17 ก.ค.2554 ที่จะถึงนี้ สืบเนื่องมาจาก นายวันชัย ธีระสัตยกุล นายก อบจ.ราชบุรี คนเก่า ขอลาออกจากตำแหน่งทั้งๆ ที่ยังเหลือเวลาในวาระอีกเกือบ 1 ปี โดยลาออกเมื่อปลายเดือน พ.ค.2554 ที่ผ่านมา (หลังจากรู้แล้วว่า นักการเมืองคู่แข่งคนใดบ้างไปลงสมัครเป็น ส.ส.ราชบุรี)

หลังจากลาออกจากตำแหน่งแล้ว นายวันชัย ธีรสัตยกุล ก็ลงสมัครใหม่ทันทีได้เบอร์ 2 และก็เริ่มติดป้ายหาเสียงตั้งแต่ กลางเดือน มิ.ย.2554 เป็นต้นมา

เป็นไปตามแผน...
ผู้สมัคร ส.ส.อกหัก ไม่สามารถหวนคืนกลับมาชิงชัยกับข้าฯ ได้อย่างแน่นอน
ปรากกฏว่าผู้สมัครลงชิงตำแหน่ง นายก อบจ.ราชบุรี ในศึกเลือกตั้งครั้งนี้มีเพียง 3 คน แน่นอนหนึ่งในนั้นคือ นายวันชัย ธีระสัตยกุล ส่วนอีก 2 คนนั้น  คอลัมส์นิสต์ใน น.ส.พ.ท้องถิ่นหลายฉบับ วิเคราะห์ว่าถูกว่าจ้างให้ลง เพื่อให้นายวันชัยฯ  หลีกเหลี่ยงคะแนนที่ต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง



ตำแหน่ง นายก อบจ.ราชบุรี ในครั้งนี้ มีวาระ 4 ปีเต็ม
แต่มีผู้ให้เลือกเพียง 3 คนแถมอีก 2 คนยังถูกว่าจ้างให้ลง...
แล้วราชบุรีบ้านผม..มันจะเหลืออะไร
  • ป้ายผู้สมัครเบอร์ 1 และเบอร์ 3  ผมพยายามที่จะสอดส่องมองหา...กลับไม่เห็นเลยแม้แต่ป้ายเดียว หรืออาจจะมีอยู่บ้าง แต่ผมไม่เห็นจริงๆ
  • ผมเห็นแต่ป้ายเบอร์ 2 ติดมาตั้งแต่กลางเดือน มิ.ย.2554 แล้วจนชาวบ้านสับสนไปหมดว่า เป็นป้ายผู้สมัคร ส.ส.ราชบุรี หรือปล่าว (ที่แท้เป็นป้ายผู้สมัคร นายก อบจ.ราชบุรี เบอร์ 2)
  • ผมไม่ทราบเลยว่าเบอร์ 1 และเบอร์ 3 คือใคร แม้แต่โบชัวร์แนะนำตัวและนโยบายที่จะทำ ก็ไม่เคยได้เห็น
  • ไม่มีการปราศรัยหาเสียงของใครให้ผมได้ยินสักครั้ง
  • ไม่มีการเดินหาเสียงไปตามบ้านตามช่องเหมือนอย่างเลือกตั้ง ส.ส.
  • ป้ายและสื่อประชาสัมพันธ์เชิญชวนรณณรงค์ให้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ก็แทบจะไม่มีให้เห็น
  • เอกสารชี้แจงการเลือกตั้งและแนะนำผู้สมัครก็ยังไม่มีส่งไปถึงบ้าน
  • ฯลฯ

หากใครมาที่จังหวัดราชบุรีของผมนี้  ก็จะไม่มีทางทราบได้เลยว่า "กำลังจะมีการเลือกตั้งตำแหน่งที่สำคัญของจังหวัดราชบุรี คือ ตำแหน่ง นายก อบจ.ราชบุรี"  เพราะไม่มีอะไรที่แสดงให้เห็นว่ามันมี...ทุกอย่างเป็นไปอย่างเงียบเชียบ เรียบร้อย...เพราะทุกอย่าง นายวันชัยฯ คงจัดเตรียมไว้หมดแล้ว ก่อนที่จะลาออกจากตำแหน่ง นายก อบจ.ที่ผ่านมา

ทำเงียบๆ ไม่ต้องกระโตกกระตาก
ยังไงคะแนนของข้าฯ ก็นั่งมา นอนมา แน่นอน.... 
ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่ามันจะได้คะแนนเท่าไหร่..ยังไงก็ชนะ
ตำแหน่งนี้ มันก็จะต้องเป็นของข้าฯ ต่อไปอีก  4 ปี

ทำไม นักการเมืองเหล่านี้ จึงดูถูกน้ำใจกันนัก...
เห็นบ้านเมืองของผมเป็นเยี่ยงไร..อยากจะเล่นปาหี่ให้ผมดู ก็เล่นกัน

ผมคงโง่เกินไป...ที่จะเข้าใจ

********************************
ชาติชาย คเชนชล : 13 ก.ค.2554

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แค่คุณครูทรัสตี สุขโต ผู้จากไป

คืนวันที่ 29 มิ.ย.2554 ที่ศาลาสวดศพ วัดเหมืองใหม่ ต.อัมพวา จ.สุมทรสงคราม เป็นอีกคืนหนึ่งที่ผมรู้สึกเศร้าและหดหู่  คืนนั้นเป็นงานสวดพระอภิธรรมศพคืนสุดท้ายของ นางทรัสตี สุขโต ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดอมรดี (อมรวิทยาคาร) หรือที่เด็กนักเรียนเรียกเธอว่า "ครูอ้อย" ชีวิตเธอจากไปด้วยวัยเพียง 56 ปี โดยถูกฆาตกรใจทรามทำร้ายร่างกายเธอ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 25 มิ.ย.2554 ในร่องสวนขนัดใกล้บ้านเธอนั้นเอง...   

มีผู้คนมาร่วมฟังสวดพระอภิธรรมศพจำนวนมากรวมทั้งพวงหรีดที่แขวนเรียงรายอยู่เต็มศาลาไปหมด ที่เสาไม้ 3 ต้นในศาลาสวดศพ มีกระดาษที่เขียนข้อความพันรอบเสาเอาไว้ เพื่อไว้อาลัยแด่ครูอ้อย ด้วยลายมือของเด็กๆ นักเรียนของเธอเอง

เพื่อเป็นการไว้อาลัยแด่คุณครูอ้อย ผู้จากไป ซึ่งเธอเป็นญาติกับภรรยาผมและเป็นเพื่อนของผมตอนเรียนปริญญาโทด้วยกัน ผมจึงได้คัดลอกคำไว้อาลัยจากนักเรียนของเธอมาไว้ ณ ที่แห่งนี้ เพื่อเป็นเครื่องรำลึกถึงเธอและเตือนใจผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป.....


ข้อความไว้อาลัย บนเสาต้นที่ 1
"ผมรักครูอ้อยมาก  ทำไมคนร้ายต้องทำร้ายครูของผมด้วย  ผมอยากให้ตำรวจจับคนร้ายได้เร็วๆ พวกเราจะตั้งใจเรียนเพื่อคุณครูอ้อย และจะทำตัวให้เป็นเด็กดีที่สุด และจะทำให้โรงเรียนมีชื่อเสียงมากขึ้น ผมอยากให้ผู้ร้ายยอมมอบตัวกับตำรวจและผมอยากจะยกโทษให้  ผมคิดถึงครูอ้อยทุกวัน ขอให้วิญญาณ ขอให้คุณครูอ้อยหลับให้สบาย"

ข้อความไว้อาลัย บนเสาต้นที่ 2
"หนูขอไว้อาลัยคุณครู  อยากให้จับคนร้ายได้เร็วๆ  ขอให้คุณครูอ้อยได้ขึ้นสู่สวรรค์  ขอให้คนร้ายตกนรก   เราทุกคนจะทำดีเพื่อครูอ้อย  และจะตั้งใจเรียนเพื่อครูอ้อย  พวกเราดีใจที่เป็นศิษย์ของคุณครูอ้อย ตลอดทุกๆ ชาติจะไม่ทำให้ครูอ้อยเสียใจ  และจะทำให้ผ่านการประเมินในวันศุกร์นี้ค่ะ   หนูจะเป็นคนดีเหมือนครูอ้อย และพวกเราคิดถึงครูอ้อยตลอดไป  และเราจะทำบุญไปให้คุณครูอ้อย ขอบคุณครูอ้อยที่คอยสั่งสอนให้เราเป็นคนดี"

ข้อความไว้อาลัย บนเสาต้นที่ 3
"หนูรักครูอ้อยมาก ทำไมมาทำร้ายคุณครูของหนูทำไม  หนูอยากให้จับคนที่ก่อเหตุให้ได้  ครูอ้อยเป็นคนใจดีกับพวกหนูทุกคน อยากให้ครูอ้อยอยู่กับพวกเรานานๆ , ผมอยากรู้ว่าใครทำร้ายครูอ้อยของผม, หนูคิดถึงคุณครูอ้อยทุกวัน ครูเคยให้ขนมหนูทุกวันและสอนคอมพิวเตอร์ทุกวัน คอยสอนภาษาอังกฤษทุกวัน หนูขอบคุณครูอ้อยมากค่ะ ขอให้ครูอ้อยหลับให้สบายนะค่ะ, อยากให้ครูอ้อยกลับมาหาเรา ขอให้คนที่ก่อเหตุออกมามอบตัวและรับกรรมที่ก่อไว้กับครูอ้อย พวกเราชาว ป.6 ขอไว้อาลัยแด่ครูอ้อย"

ในวันพระราชทานเพลิงศพวันพฤหัสบดีที่ 30 มิ.ย.2554  มีหนังสืออนุสรณ์เกี่ยวกับชีวิตและผลงานของเธอ แจกเป็นที่ระลึก เล่มไม่หนามากนัก ซึ่งเธอไม่ได้เป็นผู้เขียนเอง หากครูอ้อยได้เขียนด้วยตนเองแล้วจากประสบการณ์ 56 ปีของเธอ น่าจะเป็นหนังสือเล่มที่หนากว่านี้มากนัก

..แต่เธอก็คงเขียนมันไม่จบหรอก เพราะว่าเธอไม่รู้ว่าตอนจบของชีวิตเธอ  จะจบลงเช่นนี้....

โคควายวายชีพได้         เขาหนัง
เป็นสิ่งเป็นอันยัง            อยู่ไซร้
คนเด็ดดับศูนย์สัง-         ขารร่าง
เป็นชื่อเป็นเสียงได้         แต่ร้ายกับดีฯ

***********************************************
จุฑาคเชน : 10 ก.ค.2554

ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.สู่ชนบท ปีที่ 22 ฉบับที่ 386 ประจำเดือนกรกฏาคม พุทธศักราช 2554 หน้า 3

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ขอเขียนอีกครั้ง ก่อนถึงวันชี้ชะตา (ประเทศไทย)



ประชาธิปไตย
ประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ มิใช่ประชาชนเป็นใหญ่
ประโยชน์ที่ถูกต้องของประชาชนทั้งหมดเป็นใหญ่....

"ประชาชนเป็นใหญ่มันไม่แน่  ประชาชนบ้าบอก็ได้"

ของประชาชน โดยประชาชน
ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้ว...ฉิบหายหมด
พุทธทาสภิกขุ

***********************************************************

อีกสองวันก็จะถึงวันเลือกตั้ง ส.ส.ชุด 24 ของประเทศไทย จากพรรคการเมืองที่แข่งขันกันทั้งหมด 40 พรรค ผมรู้สึกตื่นเต้นจริงๆ ที่จะได้ทราบผลการเลือกตั้งว่า "คนไทยส่วนใหญ่จะเลือกใครมาปกครองเขาเอง....และยังจะได้ทราบต่อไปว่า...ชะตาของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร"

คนไทยจะเป็นผู้รู้  ผู้ตื่น หรือผู้เบิกบานหรือปล่าว
หรือคนไทยจะเป็นเพียงผู้หลับไหล ลืมตื่น หมกตัวอยู่ใต้โคลนตรม
ดังเช่นบัวสี่เหล่าที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน 

ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านยังบอกว่า
"ประชาธิปไตยไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่....ประชาชนเป็นใหญ่มันไม่แน่...ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัวแล้ว ฉิบหายหมด"

ผมกลัวจริงๆ ..กลัวว่ามันจะเป็นเหมือนนิทานที่ผมเคยเล่าให้ฟัง....
(อ่านนิทานก่อนการเลือกตั้ง)

อีกไม่กี่วัน BigC, Lotus และ Makro ห้างต่างชาติ...แถวบ้านผม คงจะขายดีเป็นพิเศษ เพราะ "คนแถวบ้านผมกำลังจะมีเงิน...เงินกำลังจะสะพัด...เงินกำลังจะบินมา"

ผมรู้สึกเสียดายงบประมาณค่าจัดทำสื่อโฆษณา รณรงค์ ประชาสัมพันธ์ต่างๆ ของ กกต. จำนวนไม่รู้กี่ล้านบาททั่วประเทศ ในเรื่องการไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง...

คนซื้อสิทธิ์ มันก็ซื้อจริงๆ.....เพราะไม่ซื้อคงไม่ชนะแน่
คนขายเสียง  ก็จ้องรอจะขายจริงๆ.......รอเพียงเงินมาจึงจะกาเป็น....
คนไม่เคยขายเสียง....จะทำอย่างไรเขาก็ไม่ขายเสียง

เพราะฉะนั้น การทุ่มงบประมาณดังกล่าว ผมจึงคิดว่ามันไม่ค่อยได้ผล...เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา...ไม่มีอะไรไปกระตุ้นต่อมใต้สำนึกเลย

วันนี้หลายเขตเลือกตั้งที่บ้านผมเริ่มแล้วที่ 300 บาทบ้าง 500 บาทบ้าง....ยังคงต้องดูกันต่ออีกสองวันว่าสนนราคาต่อเสียงจะเป็นเท่าใด....น่าสงสารประเทศไทย...
"รักเงินมากกว่าความถูกต้องหรือปล่าว"

"บ้านผมมีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งบ้าน 10 คน ถ้าได้คนละ 1,000 บาท ก็ 10,000 บาทแล้วละครับ เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ ครอบครัวผมกินกันไปได้อีกหลายเดือน" ชายสูงอายุท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟัง

นักการเมืองเหล่านี้ อุตส่าห์ลงทุนจ่ายเงินซื้อเสียง
เพียงเพื่อตัวเอง..จะได้ใช้ความรู้ความสามารถเข้าไปพัฒนาประเทศชาติให้เจริญ...จริงหรือ?
ตอบง่ายๆ ไม่มีใครเสียสละเช่นนี้หรอกครับ!!!

ผมขอตั้งจิตอธิษฐานภาวนาให้ประชาชนคนไทยตัดสินใจถูก
อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
อย่าตัดสินใจโดยใช้เงินเป็นตัวตั้ง 
อย่าตัดสินใจเพราะความรู้จัก หรือความเป็นพวกเป็นพ้อง
หากไม่ตั้งสติและใช้ปัญญามาพิจารณาแล้ว ระวังนะครับ

"วิญญาณปู่..ท่านจะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร"

แต่ถ้าตัดสินใจเลือกใครไม่ได้ก็ X ช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนเลยครับ
อย่างน้อย เราก็ไม่ได้เลือกโจรให้เข้าไปขายชาติ ขายบ้าน ขายเมือง
เวลาตายไป จะได้บอกปู่ได้ว่า "วันนั้นผมไม่ได้เลือกพวกมัน"

*******************************
ชาติชาย  คเชนชล :  1 ก.ค.2554

อยากให้อ่านเพิ่มเติม